ไชอา เลอบัฟ (อังกฤษ: Shia LaBeouf อ่านว่า /ˈʃaɪə ləˈbʌf/ "SHY-uh luh-BUFF"; เกิดเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ค.ศ. 1986) เจ้าของรางวัลเดย์ไทม์เอมมี และ รางวัลบาฟต้า เป็นนักแสดง,นักดนตรีและผู้กำกับชาวอเมริกัน ที่มีเชื้อสายไอริช,ฝรั่งเศส,ฮาวายและคิวบา หลังจากที่เติบโตในรัฐแคลิฟอร์เนีย เขาเป็นที่รู้จักในฐานะนักแสดงทางช่องดิสนีย์ ในรายการโทรทัศน์ Even Stevens หลังจากนั้นได้มีบทบาททางภาพยนตร์ ประสบความสำเร็จในบทบาทสมทบจากภาพยนตร์เรื่อง Constantine และ I, Robot
หลังจากที่เขามีผลงานแสดงนำในเรื่อง The Greatest Game Ever Played ผู้กำกับและผู้สร้าง สตีเวน สปีลเบิร์ก ได้เลือกเขาแสดงในภาพยนตร์ในปี 2007 เรื่อง Disturbia และ Transformers เลอบัฟได้ร่วมงานกับสปีลเบิร์กอีกครั้งในภาพยนตร์ในปี 2008 เรื่อง ขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า 4: อาณาจักรกะโหลกแก้ว และเรื่อง Eagle Eye มีสื่อมวลชนหลายแห่งได้คาดการณ์ไว้ว่า เลอบัฟ กับผลงานการแสดงของเขา เขาจะเป็นนักแสดงผู้นำในปี 2008[ลิงก์เสีย]
เลอบัฟเกิดในลอสแอนเจลิส แคลิฟอร์เนีย เป็นบุตรชายคนเดียวของเชย์นา (นามสกุลเดิม ไซเด) นักเต้นและนักบัลเล่ต์ที่ผันตัวมาเป็นนักออกแบบเสื้อผ้าและอัญมณี และเจฟฟรีย์ เครก เลอบัฟ ทหารมากประสบการณ์จากสงครามเวียดนาม และตกงานมาแล้วหลายหน และได้ทำงานเป็นตัวตลกในคณะละครสัตว์และโรดีโอ[ลิงก์เสีย] แม่ของเขาเกิดและโตในนิวยอร์กเป็นชาวยิวและพ่อของเขาเป็นคาจัน เลอบัฟโตมาในครอบครัวศาสนายิวและเขาก็ได้ผ่านพิธีฉลองอายุ 13 ปี (B'nai Mitzvah)
ชื่อ "ไชอา" เป็นภาษาฮิบรู มีความหมายว่า "ของขวัญจากพระเจ้า" ส่วนนามสกุล "เลอบัฟ" เพี้ยนมาจากคำว่า "เลอ เบิฟ" ซึ่งเป็นภาษาฝรั่งเศส แปลว่า วัว หรือ เนื้อวัว เลอบัฟเคยพูดว่า "เขาเป็นคนรุ่นที่ 5 ของนักแสดง" และเขาก็รู้การแสดงมาตั้งแต่เขาออกมาจากมดลูก ตาของเลอบัฟซึ่งมีชื่อต้น ชื่อเดียวกับเขา เป็นนักแสดงตลก ทำงานอยู่ที่ Borscht Belt แถบภูเขาแคตสกิล และย่าของเขาเป็นบีตนิก กวีและเป็นเลสเบียนที่รู้จักกับอัลเลน กินสเบิร์ก กวีที่มีชื่อเสียงชาวอเมริกัน
เลอบัฟอธิบายครอบครัวเขาว่าเป็น "ฮิปปี้" พ่อของเขาดู "แข็งเหมือนตะปู และดูต่างพันธุ์จากผู้อื่น" และเขาถูกเลี้ยงดูมาแบบ "วิถีแห่งฮิปปี้" เขายังบอกว่าพ่อแม่ของเขา "ค่อนข้างแปลกจากคนอื่น แต่พวกเขาก็รักผมและผมก็รักพวกเขา" พ่อของเลอบัฟเคยปลูกกัญชาไว้ และทั้งคู่กับสูบกัญชาด้วยกันเมื่อเลอบัฟอายุ 10 ปี[ลิงก์เสีย] เลอบัฟยังพูดว่าพ่อของเขา "ติดยา" ตั้งแต่เขายังเด็ก ติดเฮโรอีนและได้เข้าบำบัดการติดเฮโรอีนด้วย ขณะที่แม่ของเลอบัฟ "พยายามจะควบคุมไว้" พ่อแม่ของเขาก็หย่าร้างกัน และเขาบรรยายว่า เขาโตมากับแม่ที่ยากจน (ทำงานขายสิ่งทอและเข็มกลัด) ในเอโคปาร์ก ลอสแอนเจลิส แคลิฟอร์เนีย
เลอบัฟเข้าศึกษาในโรงเรียนที่คนส่วนใหญ่เป็นชาวละตินและแอฟริกัน-อเมริกัน ทางด้านการแสดง เขาเข้าเรียนที่โรงเรียนวิชัวล์แอนด์เพอร์ฟอร์มิงอาร์ทสแม็กเน็ต บนถนนที่ 32 ในลอสแอนเจลิส (LAUSD) และโรงเรียนอเล็กซานเดอร์ ฮามิลตัน เขาได้รับทักษะการแสดงจากครูสอนพิเศษ หลังจากจบจากไฮสคูล เลอบัฟรับจดหมายตอบรับจากมหาวิทยาลัยเยล แต่ก็ปฏิเสธไป ภายหลังเขากล่าวว่า "คุณจะได้เรียนรู้อะไรมากกว่าการไปโรงเรียน" ถึงแม้ว่าเขาอยากจะไปเรียนที่วิทยาลัยก็ตาม[ลิงก์เสีย]
เลอบัฟแต่งโครงเรื่อง นิยาย ในช่วงวัยเด็กของเขาและฝึกการแสดงสแตนด์อัพคอเมดี โดยแสดงให้เพื่อนบ้านของเขาในสิ่งแวดล้อมที่ไม่เป็นมิตรในละแวดนั้น[ลิงก์เสีย] เขาเริ่มแสดงสแตนอัพคอเมดี และเล่าเรื่องสัปดน ที่คลับตลกหลายแห่ง (รวมถึงดิไอซ์เฮาส์ ในพาซาดีนาด้วย) เมื่ออายุ 10 ปี เลอบัฟเล่าว่าเขาใช้มุขตลก "สัปดนที่น่าขยะแขยง" ของผู้ใหญ่อายุ 50 ปี ออกจากปากเด็กอายุ 10 ขวบ เอเย่นต์ให้งานเลอบัฟ หลังจากที่เลอบัฟเองหาเบอร์โทรศัพท์จากสมุดหน้าเหลืองแล้วโทรไปหาเอเย่นต์แสร้งทำเป็นผู้จัดการของเขาเอง เนื่องจากตอนนั้นเขายังเด็กอยู่ และเอเย่นต์ก็รู้ว่าคนโทรมาคือเด็ก และก็พูดว่า "เธอไม่เคยมีเด็กพยายามขายตัวเองมาก่อน"
เลอบัฟเคยบอกว่าตอนแรกที่ก้าวเข้าสู่อาชีพนักแสดงเพราะครอบครัวเขาแตกแยก ไม่ใช่เพราะเขาต้องการเป็นนักแสดง[ลิงก์เสีย] เขามีชื่อเสียงในหมู่ผู้ชมวัยรุ่นหลังจากเล่นในรายการตลกประจำสัปดาห์ในช่องดิสนีย์ ในบทหลุยส์ สตีเวนส์ ที่ชื่อ Even Stevens เป็นบทบาทที่เขารับเล่นหลังจากเซ็นสัญญากับเอเย่นต์ เลอบัฟยังมีส่วนในรายการของช่องดิสนีย์ฮิตอีกที่ชื่อ Tru Confessions ได้รับบทที่ท้าทาย เป็นเด็กที่มีพี่สาวที่กำลังทำสารคดีเกี่ยวกับความพิการของน้องชาย[ลิงก์เสีย] เป็นช่วงเดียวกับที่พ่อของเขาออกมาจากสถานบำบัดยาเสพติด และได้กลับมาอยู่ในฐานะผู้ปกครองของเลอบัฟอีกครั้ง เลอบัฟได้รับรางวัลเดย์ไทม์เอมมีจากบทบาทหลุยส์ และเขาพูดว่า "เขาโตขึ้น" และชีวิตในวัยเด็กของเขาเป็น "ได้หายไป" ถึงแม้ว่าการได้ร่วมแสดงจะเป็น "สิ่งที่ดีที่สุด" ที่เกิดขึ้นกับเขา ในช่วงนั้นเลอบัฟจะได้มีงานในสเก็ตช์โชว์ในรายการ The Tonight Show with Jay Leno ต่อมาปี 2003 เขามีผลงานกับดิสนีย์อีกครั้งในภาพยนตร์เรื่อง Holes กับบทบาท สแตนลีย์ "เคฟแมน" เยลแนตส์ ที่ 4 แสดงร่วมกับ ซิกกอร์นีย์ วีเวอร์ , จอน วอยจต์ และ ทิม เบลก เนลสัน ขณะที่ถ่ายทำเรื่อง Holes อยู่ จอน วอยจต์ให้หนังสือเกี่ยวกับการแสดงเขาและเป็นสิ่งที่ทำให้เขาตระหนักว่าการแสดงมันเป็นอะไรที่มากกว่างาน ภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จดีในตารางบ็อกซ์ออฟฟิส สตีเวน สปีลเบิร์กก็ชื่นชมกับเลอบัฟในผลงานเรื่อง Holes นี้และยังพูดว่า "มันทำให้ฉันนึกถึงทอม แฮงส์ในวัยหนุ่ม"
ในปีเดียวกันนั้นเอง เขามีส่วนร่วมกับสารคดีทางช่องเอชบีโอที่ชื่อรายการ Project Greenlight ที่เป็นเรื่องราวของภาพยนตร์อิสระเรื่อง The Battle of Shaker Heights เขายังปรากฏตัวในภาพยนตร์เรื่อง Charlie's Angels: Full Throttle ในบทแม็กซ์ เพโทรนิ ลูกกำพร้าที่เหล่านางฟ้าได้ช่วยเหลือไว้ นอกเหนือจากบนหน้าจอแล้วเลอบัฟยังช่วยเขียนบทและกำกับใน Let's Love Hate ดราม่าเรื่องสั้นที่ชนะรางวัล Children's Jury Award ในปี 2004 และ Children's Audience Award ในปี 2005 เขามีบทบาทเล็ก ๆ ในภาพยนตร์เรื่อง I, Robot (2004) และปรากฏตัวในภาพยนตร์แอ็คชันสยองขวัญเรื่อง Constantine (2005) แสดงร่วมกับเคียนู รีฟส์และราเชล วีสซ์ และในภาพยนตร์ของดิสนีย์เรื่อง The Greatest Game Ever Played รับบทเป็นฟรานซิส อุยเม็ท ที่สร้างจากเรื่องจริงของนักกอล์ฟที่ยากจนที่ชนะในยูเอสโอเพนแชมเปียนชิพ ในปี 1913 ในปี 2006 เลอบัฟร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Bobby ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เขาต้องเปลือยกายในฉาก เขายังเล่นในบท ดิโต มอนทีลในภาพยนตร์กึ่งอัตชีวประวัติเรื่อง A Guide to Recognizing Your Saints ซึ่งรับบทเดียวกันในช่วงโตโดยโรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ เลอบัฟพูดว่า เขาไม่ได้เป็น "นักแสดง นายแบบของทางช่องดิสนีย์" และพยายาม "สลัดภาพนักแสดงดิสนีย์ออกให้มากที่สุด" และด้วยอายุของเขา หลังจากบทบาททางช่องดิสนีย์ เขาอธิบายว่า "เป็นที่ที่เยี่ยมและทุกสิ่ง" และ "เป็นสถานที่ที่ฟูมฟักตัวเขา" แต่ "ไม่ได้ฟื้นฟูให้กับการเป็นนักแสดง" เป็น "สิ่งเดิม ๆ ที่เหมือนกัน" เขายังพูดว่า "เขารู้สึกสนุกสนานกับการเป็นนักแสดงเด็กและเขาเกลียดการไปโรงเรียน"
ในปี 2007 เลอบัฟแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Disturbia ภาพยนตร์เขย่าขวัญที่ออกฉายเมื่อวันที่ 13 เมษายน เขารับบทเป็นวัยรุ่นผู้ต้องหาที่ถูกกักกันในบ้านของเขา ที่สงสัยว่าเพื่อนบ้านของเขา รับบทโดย เดวิด มอร์ส เป็นฆาตกรต่อเนื่อง ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับความนิยมและเขาได้รับคำวิจารณ์ในทางบวก บัฟฟาโลนิวส์ เขียนไว้ว่า "เลอบัฟ นักแสดงหนุ่มที่สามารถดึงความโกรธ ความเสียใจ และความเฉลียวฉลาด ได้ในเวลาเดียวกัน"[ลิงก์เสีย] เคิร์ต โลเดอร์ นักเขียนจากเอ็มทีวีเขียนไว้ว่า "หมัดชกสู่หนทางแห่งดวงดาว" และซานฟรานซิสโกโคนิเคิล เขียนไว้ว่า "ก้าวสู่นักแสดงที่ดีที่สุดของฮอลลีวูดได้อย่างรวดเร็ว" และยังได้รับการเปรียบเทียบกับภาพยนตร์เรื่อง Rear Window โดยนิวยอร์กเดลินิวส์อธิบายไว้ว่า "เขาดูเหมือนจอห์น คูแซ็กมากกว่า จิมมี สจ๊วต" ในปี 2007 นี้เอง เลอบัฟได้ให้เสียงพากย์เป็น โคดี้ มาเวอริก ในภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่อง Surf's Up และได้รับบทเป็นวัยรุ่นชื่อ แซม วิตวิกกี ในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ของไมเคิล เบย์ เรื่อง Transformers ออกฉายเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม เขาพูดว่าเขาเป็นแฟนของซีรีส์เรื่อง Transformers และภาพยนตร์เรื่อง The Transformers: The Movie ในปี 1986 ภาพยนตร์เรื่องนี้อำนวยการสร้างโดยสตีเวน สปีลเบิร์ก ที่ประทับใจในการแสดงของเขาใน Holes
เลอบัฟเป็นพิธีกรให้รายการแซทเทอร์เดย์ไนท์ไลฟ์เมื่อวันที่ 14 เมษายนและ 10 พฤษภาคม ค.ศ. 2008 เขายังได้รับการตั้งฉายาว่า "ดวงดาวแห่งวันพรุ่งนี้" จาก ShoWest convention of the National Association of Theater Owners และเดือนกุมภาพันธ์ 2008 เขาได้รับรางวัลบาฟต้า ในฐานะในแสดงดาวรุ่ง ลงเสียงจากการโหวตของชาวอังกฤษ ที่ประทับใจกับบทบาทการแสดงเรื่อง Transformers เขายังได้เล่นในภาพยนตร์เรื่อง ขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า 4: อาณาจักรกะโหลกแก้ว ออกฉายในเดือนพฤษภาคม 2008 เลอบัฟเคยพูดว่า "เรื่องต่อๆ ไปของเขาจะรับบทในภาพยนตร์ที่สเกลเล็กลง" เขารับบทในภาพยนตร์เรื่อง Eagle Eye ภาพยนตร์เขย่าขวัญกำกับโดย ดี.เจ. คารูโซ ออกฉายเดือนตุลาคม 2008 มีเรื่องเกี่ยวกับชายหนุ่ม (เลอบัฟ) และแม่หม้ายที่ถูกนำตัวมาและบังคับให้ทำตามคำสั่งจากสายโทรศัพท์ไม่ทราบที่มา ภาพยนตร์ออกฉายวันที่ 26 กันยายน เป็นภาพยนตร์ประสบความสำเร็จด้านรายได้อีกเรื่องของเลอบัฟ ทำรายได้ 177 ล้านดอลลาร์สหรัฐทั่วโลก ภาพยนตร์ได้รับเสียงวิจารณ์ได้ด้านบวกและลบ จอร์ช เบล จากลาสเวกัสวีกลี พูดว่า "เขาได้รับบทหนักในบทฮีโรแอ็กชัน ถึงแม้ว่าในบางครั้งความพยายามที่จะแสดงความลึกของอารมณ์ของเขาก็ไม่ได้ไปไหน" ส่วนในบทวิจารณ์ของพอล เบิร์นส จากซิดนีย์มอร์นิงเฮอรอลด์ สังเกตเห็นความคล้ายคลึงในบทบาทที่เขาเล่นเมื่อเปรียบเทียบกับเรื่องก่อน ในเดือนธันวาคม 2008 เขาหลุดออกจากภาพยนตร์เรื่อง Dark Fields เนื่องจากแขนเขาประสบอุบัติเหตุจากรถชน ที่ต้องรักษาพยาบาลในช่วงเริ่มถ่ายทำ
ในปี ค.ศ. 2009 เลอบัฟได้ร่วมงานกับแร็ปเปอร์ คริส "เคจ" พัลโค กำกับมิวสิกวิดีโอ "I Never Knew You" ซิงเกิ้ลแรกจากอัลบั้มชุดที่ 3 ของเคจที่ชื่อ Depart From Me. มิวสิกวิดีโอถ่ายทำในเขตดาวน์ทาวน์ของลอสแอนเจลิสเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ร่วมแสดงโดยศิลปินค่ายดิฟินิทีฟจักซ์ อย่าง แอลl-พี, เอซอป ร็อก, แย็ก บอลซ์ และอเล็กซ์ พาร์ดี จาก แอลเอวีกลี พูดถึงวิดีโอนี้ว่า เป็นครั้งแรกของการร่วมงานของเลอบัฟกับเคจ และท้ายสุดผลคือ เป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตแร็ปเปอร์ นำแสดงโดยเลอบัฟ เมื่อถามถึงเกี่ยวกับการกำกับมิวสิกวิดีโอ เลอบัฟตอบว่า "ผมอายุ 22 ผมกำกับมิวสิกวิดีโอเพลงของแร็ปเปอร์ที่ผมชอบ มันดีกว่าการนั่งยูนิคอร์นอีก" วิดีโอออกฉายปฐมทัศน์เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม ทางช่องเอ็มทีวีทู และเอ็มทีวียู
เลอบัฟกลับมารับบทแซม วิตวิกกีอีกครั้งในภาคต่อ Transformers ในปี 2009 เรื่อง Transformers: Revenge of the Fallen เริ่มถ่ายภาพยนตร์เมื่อเดือนพฤษภาคม 2008 และถ่ายจบปลายปี 2008 และเนื่องจากเลอบัฟบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ไมเคิล เบย์และนักเขียนบท โรเบอร์โต ออร์ซี ได้เขียนบทใหม่เพื่อปิดเรื่องแขนเขาตลอดการถ่ายทำ เลอบัฟพูดว่าการถ่ายทำล่าช้าไปเพียง 2 วันหลังจากที่เขาประสบอุบัติเหตุ เบย์ได้ถ่ายทำฉากที่สองเพิ่ม และเลอบัฟพบว่าไม่กี่สัปดาห์เขาก็สามารถกลับมาถ่ายต่อได้ จนใกล้จบเรื่อง เลอบัฟก็ตาจบจากที่เขาไปกระแทกกับอุปกรณ์ประกอบฉาก ทำให้เขาต้องเย็บ 7 เข็ม. เขากลับมาถ่ายต่อในอีก 2 ชั่วโมงให้หลัง สำหรับการทำงานนี้ เลอบัฟพูดว่าเขาได้รับค่าจ้างราว 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภาพยนตร์ประสบความสำเร็จด้านรายได้ ทำเงิน 800 ล้านดอลลาร์สหรัฐทั่วโลก แต่ได้รับเสียงวิจารณ์ส่วนใหญ่ในด้านลบ, ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแรซซี ในปี 2009 ในสาขาคู่บนภาพยนตร์ยอดแย่ ไม่กับเมแกน ฟอกซ์ก็ทรานสฟอร์เมอร์
เลอบัฟรับบทเป็น เจค็อป พนักงานยกกระเป๋าในโรงแรมในภาพยนตร์โรแมนติกคอเมดี้เรื่อง New York, I Love You ภาพยนตร์รวมเรื่องสั้นเกี่ยวกับการค้นหารักใน 5 เบอโรห์ของนิวยอร์กและภาคต่อของ Paris, je t'aime ภาพยนตร์ออกฉายในเดือนตุลาคม 2009 ได้รับเสียงวิจารณ์ทั้งบวกและลบ ในเดือนกันยายน 2010 เขาแสดงในภาพยนตร์กำกับโดยโอลิเวอร์ สโตน เรื่อง Wall Street: Money Never Sleeps ภาพยนตร์ภาคต่อของ Wall Street (1987) รับบทเป็นเจค็อบ "เจค" มัวร์ หนุ่มไฟแรงที่อยากก้าวเข้าสู่ธุรกิจค้าหุ้น ที่มีความสัมพันธ์กับลูกสาวของกอร์ดอน เกกโก ที่ชื่อวินนี ในความพยายามเข้าถึงบทบาท เขาเลือกที่จะไว้หุ่นแบบผอมไว้ เพราะเรื่องคาดิโอเป็นเรื่องใหญ่ และพวกเขาก็ผอม ภาพยนตร์ฉายปิดในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ 2010 เดวิด กริตเทนจาก เดอะเดลีเทเลกราฟ ตั้งข้อสังเกตว่า "เลอบัฟแก่พอที่จะเล่นบทนักธุรกิจหนุ่มที่เฉลียวฉลาดแล้ว และทำได้ดี" เลอบัฟจะแสดงในภาพยนตร์ภาค 3 ของ Transformers ที่คาดว่าจะออกฉายในวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 2011 ในเดือนธันวาคม 2008 เลอบัฟเข้ารับบทเป็น ไคล์ แม็กอะวอย ในภาพยนตร์ดัดแปลงจากบทประพันธ์เรื่อง The Associate ของจอห์น กริสแฮม กริชแฮมที่ได้เลือกตัวเลอบัฟกับมือ พูดถึงการแสดงเขาว่า "ผมคิดว่าเขาวิเศษมาก เขาเป็นนักแสดงที่มีความสามารถอย่างมาก" ในเดือนธันวาคม 2009 เลอบัฟแสดงในภาพยนตร์ The Promised Land แต่โครงการยกเลิกไปเนื่องจากปัญหาด้านการเงิน เลอบัฟผิดหวังกับผลของโครงการ ทำให้เขาละจากเอเยนต์ที่วิลเลียม มอร์ริส เอนดีวอร์ และหลังจากนั้นเขาพยายามทำงานโดยไม่มีเอเยนต์ แต่ในที่สุดเขาก็เซ็นกับเอเยนต์ ครีเอทีฟอาร์ทิสเอเจนซี ในเดือนมกราคม 2010
เลอบัฟซื้อบ้านเองตั้งแต่อายุได้ 18 ปี เป็นบ้านสองห้องนอน อยู่ในเบอร์แบงก์ แคลิฟอร์เนีย และอยู่ใกล้กับทั้งบ้านพ่อและแม่ของเขา แม่ของเขาอยู่ใกล้กับ Tujunga ในลอสแอนเจลิส แคลิฟอร์เนีย ส่วนพ่อของเขาอยู่ที่มอนแทนา เขามีรถนิสสัน แม็กซิมาและมีหมาบูลด็อก 2 ตัวชื่อ แบรนโด กับ เร็กซ์ ในด้านส่วนตัวเขาเป็นคนติดการสูบบุหรี่ เขายังเคยพูดว่า "กีฬา สำหรับผมเป็นเรื่องใหญ่" และเขายังเป็นนักดูหนังตัวยง เขาชอบฟังเพลงของ The Shins, CKY และเพลงฮิปฮอปของค่ายเพลง Definitive Jux
เลอบัฟเคยพูดว่านักแสดงที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับเขาคือ ดัสติน ฮอฟฟ์แมน , โจดี ฟอสเตอร์, จอน วอยต์ และ จอห์น เทอร์เทอร์โร เขายังเคยพูดว่า "เขาจริงจังกับอาชีพนักแสดง" และเขา "พยายามห่างจากปาร์ตี้สังสรรค์เพราะมันจะมีผลทำงาน" และเชื่อว่า "ถ้าคนตราหน้าคุณว่าคุณมัวแต่ไปปาร์ตี้ คุณก็จะได้งานน้อยลง" เลอบัฟเคยพูดว่าเขาไม่ใช่คนยิวที่เคร่งครัด
วันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 2007 เลอบัฟถูกจับขณะเมาไม่ได้สติ ในช่วงเช้าข้อหากระทำความผิดบุกรุกร้านขายยา วอลกรีนส์ในชิคาโก้ หลังจากปฏิเสธที่จะออกจากร้านจากพนักงานรักษาความปลอดภัย เลอบัฟขึ้นศาลเมื่อ 28 พฤศจิกายน ค.ศ. 2007 แต่ข้อหาก็ตกไป ต่อมาเดือนมีนาคม ค.ศ. 2008 โดนศาลออกหมายจับพร้อมตั้งค่าหัว 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ จากกรณีไม่ยอมไปปรากฏตัวต่อหน้าศาล หลังกระทำผิดในคดีอาญาประเภทลหุโทษ ของเมืองเบอร์แบงก์ที่ระบุว่าการสูบบุหรี่ ในระยะ 20 ฟุตใกล้กับทางเข้าออก และหน้าต่างอาคารที่เปิดออกสู่ที่สาธารณะ
5 พฤษภาคม ค.ศ. 2008 มีรายงานว่าเลอบัฟกำลังออกเดทอยู่กับนางแบบสาวอย่าง ลอเรน ฮาสติงส์ จนถึง 2011 เขาได้ประกาศว่าเลิกกับฮาสติงส์แล้ว ในปี 2012 มีรายงานว่าเขากำลังออกเดทกับนักแสดงสาวและนางแบบชาวอังกฤษชื่อว่า มีอา ก็อธ เขาประกาศว่าเขาหมั้นกับก็อธกันในปี 2016 และในปี 2018 ทั้งคู่ได้ประกาศเลิกราและประกาศยกเลิกงานแต่งแล้ว เนื่องจากความสัมพันธุ์ระหว่างเขาและก็อธไม่แตกต่างกันตามกฎหมายกัน